1/12/54

โลกและการเปลี่ยนแปลง

โลกและการเปลี่ยนแปลง

โลก เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่สันนิษฐานว่า ระบบสุริยะเกิดจากการหมุนวนของกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง(เนบิวลา) แรงโน้มถ่วงระหว่างมวลทำให้ฝุ่นละอองและแก๊สในอวกาศเกิดการยุบตัวและรวมกัน จนในที่สุดกลายเป็นระบบสุริยะ ซึ่งประกอบด้วย ดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่างๆ จากข้อมูลและหลักฐานต่างๆ นักวิทยาศาสตร์แบ่งโครงสร้างโลกตามลักษณะมวลสารเป็นชั้นใหญ่ๆ 3 ชั้น คือ

  
ชั้นเปลือกโลก (crust) เป็นส่วนผิวด้านนอกที่ปกคลุมโลก แบ่งเป็น 2 บริเวณ คือ เปลือกโลกภาคพื้นทวีป หมายถึงส่วนที่เป็นแผ่นดินทั้งหมด ประกอบด้วยซิลิกาและอลูมินาเป็นส่วนใหญ่ เปลือกโลกใต้มหาสมุทร หมายถึง เปลือกโลกส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำ ประกอบด้วย ซิลิกา และแมกนีเซียเป็นส่วนใหญ่
เนื้อโลก ( mantle ) เป็นชั้นที่อยู่ถัดลงไปจากชั้นเปลือกโลก ส่วนมากเป็นของแข็ง มีความลึกประมาณ 2,900 กิโลเมตร นับจากฐานล่างสุดของเปลือกโลก จนถึงตอนบนของแก่นโลก ชั้นเนื้อโลกส่วนบนเป็นหินที่เย็นตัวแล้วและบางส่วนมีรอยแตกเนื่องจากความเปราะ ชั้นเนื้อโลกส่วนบนกับชั้นเปลือกโลกรวมกันเรียกว่า "ธรณีภาค (lithosphere)" มีความหนาประมาณ 100 กิโลเมตร นับจากผิวโลกลงไป ชั้นเนื้อโลกถัดลงไปที่ความลึก 100 - 350 กิโลเมตร เรียกว่า ชั้น ฐานธรณีภาค (asthenosphere) เป็นชั้นของหินหลอมละลายร้อน หรือหินหนืดที่เรียกว่า แมกมา ซึ่งหมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้าๆ ชั้นเนื้อโลกที่อยู่ถัดลงไปอีกเป็นชั้นล่างสุดอยู่ที่ความลึกตั้งแต่ 350 - 2,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่เป็นของแข็งร้อนแต่แน่นและหนืดกว่าตอนบน มีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ประมาณ 2,250- 4,500?C
แก่นโลก (core) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ แก่นโลกชั้นนอก มีความลึกตั้งแต่ 2,900 - 5100 กิโลเมตร เชื่อกันว่าชั้นนี้ประกอบด้วยสารเหลวร้อนของโลหะเหล็กและนิกเกิลเป็นส่วน ใหญ่และมีความร้อนสูงมาก แก่นโลกชั้นใน เป็นส่วนที่ต่อเนื่องจากแก่นโลกชั้นนอก มีส่วนประกอบเหมือนกับชั้นนอก แต่อยู่ในสภาพของแข็งเนื่องจากมีความดันและอุณหภูมิสูงมาก อาจสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส

โลกและการเปลี่ยนแปลง



ชั้นเนื้อโลกหรือชั้นแมนเทิล (Earth’s Mantle)

เป็นชั้นที่สองของเรียกกันว่า เนื้อโลก หรือชั้นแมนเทิล (Mantle) มีสภาพส่วนใหญ่เป็นหินหลอมเหลว เนื่องจากได้รับความร้อนจากแก่นโลกที่มีอุณหภูมิสูงมาก หินหลอมเหลวที่อยู่ในชั้นนี้ มีชื่อที่คุ้นหูว่า แมกมา (Magma) แต่เมื่อแมกมาปะทุขึ้นมาบนเปลือกโลกจากปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด จะเรียกว่า ลาวา (Lava) นั่นเอง
องค์ประกอบทางเคมีของชั้นแมนเทิล (Earth’s Mantle)
ชั้นแมนเทิลมีส่วนประกอบหลักเป็นหินที่มีปริมาณแร่โอลิวีนสูง ( olivine-rich rock )
อุณหภูมิของชั้นแมนเทิลมีความแตกต่างกันตามความลึก ซึ่งบริเวณที่ติดกับเปลือกโลกจะมีอุณหภูมิต่ำและเพิ่มขึ้นตามความลึก
อุณหภูมิสูงสุดพบบริเวณที่ติดกับแกนโลกที่ให้ความร้อน (heat-producing core) การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิตามความลึกอย่างคงที่เรียกว่า ” geotherrmal gradient”
ซึ่ง geothermal gradient มีค่าขึ้นอยู่กับชนิดหินแต่ละชนิดและหินแต่ละ
โดยที่ชั้นแมนเทิลที่แบ่งเป็นสองส่วนคือ
ส่วนบน (upper mantle)
ส่วนล่าง (lower mantle)

หินในชั้นแมนเทิลส่วนบนมีอุณหภูมิต่ำและค่อนข้างเปราะ ในขณะที่หินในชั้นแมนเทิลส่วนล่างมีอุณหภูมิสูงและค่อนข้างอ่อน (แต่ไม่หลอม) หินในชั้นแมนเทิลส่วนบนมีความเปราะมากพอที่จะแตกเมื่อมีแรงมากระทำและก่อให้ เกิดแผ่นดินไหวได้

อย่างไรก็ตามหินในชั้นแมนเทิลมีความอ่อนและ สามารถไหลได้ เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะที่มีแรงมากระทำ แมนเทิลชั้นบนและล่างแบ่งโดยบริเวณที่มีลักษณะความเปราะที่น้อยที่สุด
……………………………………………………..

ชั้นเปลือกโลก


เป็นชั้นที่สามของโลกเป็นชั้นที่อยู่ นอกสุด เรียกว่า ชั้นเปลือกโลก (Crust) บางส่วนของเปลือกโลกเกิดจากการเย็นตัวของลาวาแล้วกลายสภาพเป็นหินแข็ง
เปลือกโลกมีลักษณะเป็นแผ่นขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือหิน หลอมเหลวหรือแมกมา ด้วยเหตุนี้เองจึงส่งผลให้แผ่นเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมาได้ประมาณ 3,500 ล้านปีมาแล้วมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมนุษย์เราสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวนี้ได้จากการเกิดภูเขาไฟระเบิดและ แผ่นดินไหว
ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าในอดีต ทวีปต่าง ๆ เคยเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่แผ่นเดียวที่เรียกว่า พันเจีย (Pangaea) แต่ต่อมาทวีปใหญ่พิเศษนี้ได้แยกออกจากกันเป็นเวลากว่าล้านปีมาแล้ว จนมีลักษณะเป็นทวีปต่าง ๆ ดังเช่นปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่นี้ โดยรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกมีโอกาสที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว ได้มากที่สุด นอกจากนี้แล้ว การกัดเซาะของน้ำ กระแสลม และธารน้ำแข็งยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แผ่นเปลือกโลกมีการเปลี่ยน แปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากลักษณะการคดเคี้ยวของแม่น้ำสายต่าง ๆ จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั่นคือ นักวิทยาศาสตร์พบว่าทวีป
ถ้าวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในส่วนของเปลือกโลก
สามารถแบ่งเป็น
1 องค์ประกอบทางเคมีในส่วนที่เป็นเปลือกทวีป (หินแกรนิต)
2 องค์ประกอบทางเคมีในส่วนที่เป็นเปลือกสมุทร (หินบะซอลต์)

1 องค์ประกอบทางเคมีในส่วนที่เป็นเปลือกทวีป (หินแกรนิต)

ประกอบด้วย หินซิลิเกตทั่วไป (Normal Silicate Rocks) โดยส่วนเปลือกทวีปมีองค์ประกอบซิลิเกตที่มากด้วยซิลิกอน (Si) กับอลูมิเนียม (Al) ซึ่งเป็นองค์ประกอบแบบหินแกรนิต จึงเรียกเปลือกทวีปนี้ว่า “ไซอัล” (SIAL) หรือ “เปลือกโลกส่วนที่มีองค์ประกอบแบบหินแกรนิต”

2 องค์ประกอบทางเคมีในส่วนที่เป็นเปลือกสมุทร (หินบะซอลต์)
มีองค์ประกอบ

ซิลิเกตของพวกเหล็กแมกนีเซียม (Mg)
อลูมิเนียม
ซิลิกอน

จึงเรียกเปลือกสมุทรว่า “ไซมา” (SIMA) ชั้นเปลือกสมุทรนี้แผ่ตัวต่อเนื่องไปจนถึงชั้นรองรับเปลือกทวีป ซึ่งเดิมทีมักเชื่อกันว่ามีองค์ประกอบอย่างหินบะซอลต์ จึงเรียกว่า “เปลือกโลกมีองค์ประกอบอย่างหินบะซอลต์” (Basaltic Crust) มีความถ่วงจำเพาะ 3.0

แต่ปัจจุบันส่วนที่รองรับเปลือกทวีปนี้เชื่อว่าน่าจะมีองค์ประกอบคล้าย หินเพ ริโดไทต์ (Peridotitic Composition) ซึ่งมี ความถ่วงจำเพาะ 3.3
ถ้าวิเคราะห์ตามโครงสร้างภายในของโลก
สามารถจำแนกตาม คุณสมบัติทางวัสดุได้กว้างๆ 2 ส่วนคือ

1. ชั้นธรณีภาค (Lithosphere) คือส่วนที่มีคุณสมบัติเป็นของแข็งมีความแกร่ง (rigid solid) นับรวมเอาส่วนเปลือกโลกถึงบางส่วนของชั้นเนื้อโลกส่วนบน ในระดับจากผิวโลกถึงลึกไม่เกิน 100 กิโลเมตร
2. ชั้นฐานธรณีภาค (Asthenosphere) นับจากระดับประมาณ 100 กิโลเมตร ต่อจากชั้น ธรณีภาคลงไป มีสมบัติพลาสติกมากขึ้น พร้อมที่จะไหลได้

องค์ประกอบหลักของโลก ทั้งสองส่วนนี้ มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนที่ของมวลเปลือกโลก ขนาดใหญ่
.
ชั้นแก่นโลก (Earth’s Core)

ชั้นแรกของเปลือกโกลกเป็นส่วนที่อยู่ใจกลางโลก เรียกว่า ชั้นแก่นโลก (Core)
แกนโลก (Earth’s Core): ส่วนประกอบหลักๆ ของแกนโลกคือโลหะผสมระหว่างเหล็กและนิเกิล (iron-nickel alloys) ซึ่งเป็นสัณนิษฐานที่ได้จากการคำนวณความหนาแน่นและความจริงที่ว่าอุกกาบาต ทั้งหลายที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากโครงสร้างข้างในดาวเคราะห์
ประกอบด้วยโลหะผสมเหล็กนิเกิล แกนโลกเป็นแหล่งกำเนิดความร้อนเนื่องจากประกอบด้วยวัสดุกัมมันตภาพรังสี (radioactive meterial)ที่ซึ่งปลดปล่อยความร้อนออกมาจากการแตกตัวเพื่อเข้าสู่สถานะที่ เสถียรกว่า
แกนโลกแบ่งเป็นสองส่วน คือ

- แกนโลกชั้นนอก (outer core) มีสถานะเป็นของเหลวเนื่องจากอุณหภูมิที่สะสมเพื่อหลอมโลหะผสมเหล็กนิเกิล
- แกนโลกชั้นใน (inner core) มีสถานะเป็นของแข็งถึงแม้ว่าจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าแกนโลกชั้นนอกแต่เนื่อง จากความกดดันที่สูงมากจากน้ำหนักของหินที่ปิดทับอยู่ด้านบนที่มากพอที่จะทำ ให้อะตอมมีการจับตัวกันอย่างแน่นหนาทำให้ไม่เกิดสถานะของเหลว
ขอบคุณ
crack.seismo.unr.edu
sciencedaily
thaigoodview
pkkv.org

รูปแสดงการเคลื่อนตัวของทวีป ตามแนวคิดของอัลเฟรด  เวเกเนอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น